ต้องบอกก่อนว่าบทความนี้อิงเนื้อหาเดียวกันกับวิดีโอ Full Review หากใครถนัดดูมากกว่าอ่าน แนะนำวิดีโอเลยครับ ดูเพลิน
แนะนำ Ninebot F3: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าราคาระดับกลาง แต่ฟังก์ชั่นระดับท็อป


และนี่คือ Ninebot F3 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดจาก Segway หมดสมัยแล้วสำหรับ Mid-Tier ที่กั๊กสเปกไม่ท็อป เพราะตัวนี้สเปกท็อปจริง ๆ เดี๋ยวเรามาดูรีวิวไปพร้อมกันนะครับว่ามันเจ๋งขนาดไหน แต่บอกเลยถ้าผมซื้อ ผมเลือกคันนี้ครับ ซึ่งเจ้า F3 เนี่ย เป็นเรียกว่า Mid-Tier แล้วกัน ที่จริง ๆ แล้วปีนี้ เขาได้มีการเปลี่ยนโฉมและเปลี่ยนสเปก ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ใหม่หมดเลยนะครับ ถ้าให้เทียบก็คือ ตัวเขาเองเนี่ยเปลี่ยนมาจาก F2 แบบแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยนะครับ ตั้งแต่ส่วนบน แฮนด์ จอใหม่ ล้อ และก็มีโช้คด้วย และด้านหลังก็มีโช้คแบบพิเศษนะครับ

แต่ที่ผมว่าน่าสนใจคือตัว F3 เนี่ย เวลาที่เราไปเปรียบเทียบกับตัวท็อปเก่าเลยแล้วกัน ก็คือ Max G2 นะครับ ก็ถือว่าเป็น Max G2 เวอร์ชั่นที่คล่องแคล่ว คล่องตัวมากขึ้น และด้วยความที่ผมเป็นคนชอบขับในเมือง ผมก็เลยชอบรถที่มันมีน้ำหนักที่มันเบา ซึ่งตัวนี้มันเบากว่า G2 อยู่แล้วนะครับ และก็เบากว่า G3 แน่นอนอยู่แล้วล่ะ อันนี้ก็คือภาพรวมเบื้องต้นนะครับว่ามันมีความต่างกันขนาดไหนระหว่างตัวเก่าในซีรีส์เดียวกัน และตัวเก่าที่เป็นต่างซีรีส์ หรือเรียกง่าย ๆ คือ ตัวนี้ดีกว่าตัวท็อปรุ่นที่แล้วอีก

การออกแบบและส่วนควบคุม: ขับขี่สบาย คล่องตัวสุดๆ

เราไปเริ่มที่ส่วนของ Handle Bar ก่อนเลยนะครับ ตัวนี้บอกอยู่แล้วว่าใหม่หมดครับ คือเราจะใช้หลักการ Economy นะครับ ในการวางรูปแบบแฮนด์ให้มันรับกับการขับขี่มากขึ้น มีความยาวเพราะมีส่วนของไฟมาด้วย และการจับจะได้มุมมากขึ้น คือถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ แล้วกัน มันเหมือนการที่มันโค้งและรับช่วงแขนเข้ามาก็ขับขี่ได้นิ่งมากขึ้นนะครับ เพราะตัวนี้มีความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาด้วย

ต่อมาก็คือส่วนของการควบคุมครับ เป็น Joystick แบบ Gen 3 ที่ใช้นิ้วโป้งมือด้านซ้ายในการควบคุม และคันเร่งที่เป็นแบบ Hybrid แล้ว คือใช้นิ้วโป้งกดได้ และใช้มือกำได้ด้วยเช่นเดียวกันครับ
จอแสดงผลและฟีเจอร์อัจฉริยะ: ครบครันและปลอดภัย

จอสี TFT 2.4 นิ้ว Gen 3: แม่นยำและล้ำสมัย
ในส่วนของจอนะครับ ที่มีการเปลี่ยนใหม่ตาม Segway Gen 3 ก็คือ จอสี TFT ขนาด 2.4 นิ้ว ให้ทั้งข้อมูลที่มีความแม่นยำ ระยะทางเปลี่ยนตามโหมดเลยว่าเราวิ่งได้อีกเท่าไหร่ และมีการบอก Turn by Turn กรณีที่เราตั้งเนวิเกเตอร์นำทางให้ ก็จะบอกเป็นลูกศรเลยว่าเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาที่ระยะกี่กิโลเมตร และมีบอกด้วยนะครับว่าใครโทรเข้ามาตอนนี้ ก็จะมีชื่อขึ้นเลย ถ้าเราเมมเบอร์เอาไว้


ระบบอัจฉริยะในตัวเครื่อง: ปลอดภัย มั่นใจทุกการเดินทาง

นอกจากนี้ ภายนอกที่เราเห็นว่ามันสวยงาม ข้างในก็ยังมีระบบอัจฉริยะมากมายที่อัดแน่นเข้าไปไว้ในนี้ อย่างเช่น Airlock ที่เราสามารถตั้งมือถือของเราเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องไว้ ถ้าเราเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ปุ๊บ รถก็จะสามารถกดเปิดได้ทันที หรือจะใช้จอยสติกในการตั้งเป็น Setup Password ต่าง ๆ ก็ได้นะครับ


และยังมีระบบพิเศษในนี้อีกนะครับ ก็คือเสียงดังเตือนกันขโมยอีกด้วยครับ ที่ใส่เข้ามา ถือว่าอัจฉริยะจริง ๆ ใน Gen 3 นี้

ไฟหน้าเปิดปิดอัตโนมัติได้ด้วย เวลาอยู่ในที่มืดก็จะเปิดอัตโนมัติ และยังสามารถปรับสูงต่ำได้ด้วยอีกต่างหาก และความสว่างความกว้างขององศาดีมาก ๆ เลยครับ


การกันน้ำและความทนทาน: ท้าฝน ลุยแอ่งน้ำได้สบาย


ในส่วนของการกันน้ำนะครับ Ninebot F3 เนี่ยทำได้ดีมากว่ารุ่นเก่าอีกนะครับ ตัวเครื่อง ตัวจอ สามารถกันได้ถึง IPX6 เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ครับ เพราะจอไม่ได้มีปุ่มกดแล้วก็เลยกันน้ำได้ดีมากยิ่งขึ้นเพราะเปลี่ยนไปกดที่จอยแทน และส่วนต่อมาคือด้านล่างแบตเตอรี่ กันได้สูงสุดถึง IPX7 เลยนะครับ มากสุด ๆ ไปเลยครับ ก็ให้ความสบายใจได้นะครับ เวลาที่ขับผ่านแอ่งหรือเจอฝนตก ก็สามารถป้องกันน้ำเข้าตัวเครื่องหรือเข้าตัวจอได้อย่างดีเลยทีเดียว แต่ขอ บอกก่อนนะครับว่าน้ำเข้าตัวเครื่อง ตัวจอ หรือตัวแบตเตอรี่ ไม่ได้อยู่ใน Scope ของการประกันนะครับ
โครงสร้างตัวเครื่องและน้ำหนัก: เบา แข็งแรง พกพาง่าย

ในส่วนของตัวเครื่องนะครับ Ninebot F3 เนี่ยก็มีการอัปเกรดขึ้นมา ตัวคอ ยังเป็นอลูมิเนียมอัลลอยเกรดอากาศยานอยู่ มีหูหิ้วรับน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัมมาให้ และตัวบอดี้ด้านล่างเป็นแมกนีเซียม ซึ่งต้องบอกเลยว่ามันให้ทั้งความเบา ความยืดหยุ่น และความแข็งแรงที่ดีมาก ๆ ซึ่งผมไป Test Drive มาแล้วครับ Test Drive มาเยอะด้วยแหละ ยังไงก็ไปดูกันได้นะครับ
การพับเก็บและน้ำหนัก: พกพาสะดวกทุกที่

ไหน ๆ ก็พูดถึงตัวเครื่องแล้ว ขอพูดถึงการพับเลยแล้วกัน สิ่งที่ผมชอบนะครับของ Ninebot F3 เนี่ย คือการพับมันไม่ได้พับแบบเอียง ๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว มันพับตรง ๆ อย่างงี้ครับ ป๊าบ อย่างดี มันทำให้เวลาที่เรายกเนี่ย เวลาเราทำอย่างงี้มันอยู่ตรงกลางของเราพอดี


และนี่ไฮไลท์สำคัญ มันมีหูหิ้วอย่างงี้มาให้ นี่ ยกดีกว่ารุ่นก่อนที่ผ่านมาเยอะมากเลยนะครับ น้ำหนักเบาด้วยครับ น้ำหนักตัวนี้เพียง 18.6 กิโลกรัมเท่านั้นเองนะครับ น้ำหนักดี น้ำหนักดี ถือว่าในเลเวลคนผู้ชายทั่วไป ยกได้ ผู้หญิงอาจจะยากหน่อย ทางด้านข้างจะเห็นชัดขึ้นนะครับว่า พอเวลาที่มันมีที่จับด้านหน้า มันลากแบบนี้ได้ มอเตอร์ที่หนักก็อยู่ด้านหลัง อยู่กับพื้นไป ตรงนี้ก็ยกนิดหน่อย ลากสบาย
สเปกภายใน: สมรรถนะจัดเต็ม เหนือความคาดหมาย
เมื่อเป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สิ่งที่เราควรรู้และสำคัญจริง ๆ ก็คือสเปกภายในครับ เดี๋ยวมาไล่ดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าว่า Ninebot F3 อัปเดตอะไรกันไปบ้างนะครับ

- ระบบกันสะเทือนแบบไฮบริด: อย่างแรกที่เราเห็นคือมีโช้คอัพไฮดรอลิกมาแล้วที่ล้อหน้า แต่ไม่พอครับ ด้านหลังมี Elastomer มาด้วยนะครับ เป็นยางชนิดพิเศษที่ทำให้การกระแทกแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถซับแรงได้ดีเลยทีเดียวครับ จากที่ผมไป Test Drive มา
- มอเตอร์ 1,000 วัตต์: ส่วนต่อไปก็คือมอเตอร์ครับ มอเตอร์จะอยู่ด้านหลัง ทำกำลังสูงสุดที่ 1,000 วัตต์ และทำความเร็วได้ถึง 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยนะครับ อันนี้คือเท่ากับ Ninebot Max G2 เลยครับ
- แบตเตอรี่ความจุสูง: ส่วนของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ของเขามีความจุถึง 477 Wh เลยทีเดียว และสามารถที่จะวิ่งในโหมด Eco ได้ไกลสูงสุดถึง 70 กิโลเมตรเลยนะครับ แต่ถ้าเป็นการ Test Drive ที่ผมไปใช้จริง โหมดสปอร์ตยาว ๆ เลย ก็อาจจะอยู่ที่ประมาณ 40 กิโลเมตรนะครับ
- การชาร์จ: รวดเร็วทันใจ: ต่อมาการชาร์จครับ ตัวนี้สายชาร์จมาตรฐานที่ให้มาจะสามารถชาร์จ 0 จนถึง 100 ภายใน 8 ชั่วโมง ซึ่งพอแบตใหญ่ แต่ว่าใช้เวลาน้อยลง ก็ถือว่าทำได้ดี แต่ถ้ายังไม่จุใจ เพิ่มสเปกได้อีกครับ คือมีอะแดปเตอร์ของรุ่นใหญ่ ที่สามารถทำให้ตัวนี้ชาร์จได้ภายใน 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง อันนี้ก็สามารถเป็นออปชันเพิ่มเติมได้นะครับ
ยาง Self-Healing และระบบเบรก: ปลอดภัยทุกเส้นทาง

ส่วนต่อมาก็คือ ยาง 10 นิ้ว และมี Self Healing ข้างในด้วยนะครับ ถ้าโดนอะไรตำ เวลาเราดึงออกปุ๊บ มันก็จะฮีลตัวเองได้ อันนี้ทั้งล้อหน้าล้อหลังเลยครับ และต่อมาคือส่วนของเบรกที่เป็นดิสก์เบรกอยู่ในด้านหน้า อันนี้ถือว่าให้มาแบบดีและเหมาะสมกับความเร็วที่เขาทำ อาจจะมีความไม่คุ้นเคยนิดหน่อย หลัง ๆ เราจะชอบเจอแล้วนะครับว่าแบบมันเป็นสกู๊ตเตอร์ที่มีเบรกทั้งซ้ายทั้งขวา อันนี้มีเบรกเดียว แต่ก็ยังมี Regenerative ที่มอเตอร์จะช่วยหน่วงความเร็ว ทำให้เวลาเราชะลอ ก็จะลดความเร็วลงไปได้ และเพิ่มแบตเตอรี่เข้าไปในแบตได้ด้วยอีกด้วยนะครับ
ระบบ Traction Control: การขับขี่ที่มั่นคงและปลอดภัยขั้นสุด

สิ่งที่ผมว่ามันดีมาก ๆ เลยนะครับสำหรับ Ninebot F3 เลยก็คือตัว Traction Control ครับ เวลาเราเปิด Traction Control ล้อข้างหลังมันก็จะหมุนไม่เร็วมากนะครับ เพราะว่าล้อมันลอยแล้ว แต่เมื่อเราปิด Traction Control ล้อมันจะหมุนเร็วมากนะครับ ทำให้เวลาที่ล้อมันสะบัดหรือล้อมันลอยขึ้น มอเตอร์มันจะยังหมุนอยู่ มันก็จะทำให้เรามีอาการล้อสะบัดหรือว่ามีแบบล้อฟรีได้นะครับ ก็จะไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ในการขับขี่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปิด Traction Control เนี่ย มันก็จะมีความมั่นคงมากขึ้นนะครับ เช่น เวลาที่ผมกระโดดลงจากฟุตบาทอะไรเงี้ยแล้วกดคันเร่งอยู่ ล้อมันก็จะไม่ทำงาน มอเตอร์มันก็จะไม่มีการส่งแรงแบบสูงสุดไป เวลาที่ลงถึงพื้นมันก็จะไม่แบบฟึด ๆ อะไรอย่างงี้ หรือเวลาที่ขับในทางลูกรังมันก็จะมีความนิ่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องบอกนะครับว่า Traction Control อันนี้ที่ใส่มาใน Ninebot F3 เนี่ย มันคือ Traction Control แบบจริง ๆ และที่ใช้งานได้จริง ๆ ครับ
ประสบการณ์ขับขี่จริง: คล่องตัว ไม่เมื่อย

ลอง 35 กม. ไปเลย บิดสุดฃ ส่วนตัวผมชอบ F3 เนี่ย เพราะว่าเรื่องน้ำหนักเขาครับ คือพอเขาไม่ได้หนักมากแล้วอัตราเร่งแบบกำลังดีเนี่ย ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันยืดหยุ่นดี และอย่างล่าสุดที่ผมไปขับแบบในเมือง ที่ทุกคนอาจจะคลิกไปดูที่คลิปกันได้ ก็จะเห็นว่าเวลาเราเจอรถติดอยู่ในท้องถนนแล้วเนี่ย มันสามารถควบคุมได้ง่าย และก็ไม่เมื่อย เวลาที่เราแบบต้องลงจอด ต้องขึ้นอะไรอย่างเงี้ย น้ำหนักรถมันไม่เยอะมันโอเคกว่า และถามว่าจะต้องมี Boost Mode ไหม ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้จำเป็นนะครับ เพราะว่ามันเล็กและก็เบา อัตราเร่งเขากำลังดีอยู่แล้ว

SegRide™ & SegRange™
- SegRide™: อย่างแรกเลยก็คือเจ้าตัว Ninebot F3 ตัวนี้เนี่ย มันมีการออกแบบทั้งในเชิงของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ภายใต้องค์ความรู้สำคัญของ Segway นั่นก็คือ SegRide™ ซึ่ง SegRide™เนี่ยก็เป็นภายนอกหรือว่าการออกแบบให้ทั้งการขับขี่ทั้งหมดเลยครับ รวมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนถ่วง ความเอียงของคอ หรือว่าตัวแฮนด์เนี่ย มันถูกสรีระนะครับ ทำให้ขับขี่ได้สะดวกสบาย ไม่เมื่อย และให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรถ ซึ่งฟังดูเข้าใจยาก เราแนะนำวิดีโอครับ
- SEC Range: SegRange™ เป็นเรื่องของซอฟต์แวร์ซะส่วนใหญ่ ในการที่ออกแบบให้แบตเตอรี่นั้นสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งไฟที่มอเตอร์ และสามารถที่จะทำให้ได้ระยะทาง ได้ความเร็ว ได้กำลังที่มันเหมาะสม ทำให้เราสามารถที่จะใช้รถคันนี้ตอบโจทย์กับทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นตอนใช้โหมด D หรือโหมด S นั่นเอง ซึ่ง Segway ก็ได้มีทำวิดีโอไว้เหมือนกัน
สำรวจฟังก์ชันในแอปพลิเคชัน Segway Mobility: ควบคุมสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของคุณได้อย่างเต็มที่
การเชื่อมต่อสกู๊ตเตอร์เข้ากับแอป

อย่างแรกเรามาดูส่วนของการ Add Device กันก่อนครับ ไปที่มุมซ้ายบน กด Add Device แล้วก็เลือก Scan QR Code นะครับ และมีทริคพิเศษของการเปิด QR Code ที่ตัวรถ ให้เปิดเครื่อง กำเบรก 8 ครั้ง แล้วกดปุ่มลง นี่ก็จะขึ้นหน้าจอมาแบบนี้ ก็จะ Activate รถและสามารถเชื่อมต่อได้แล้วนะครับ
แดชบอร์ดและฟังก์ชันล็อกอัจฉริยะ

ต่อมาเราไปดูที่แดชบอร์ดด้านหน้ากันก่อนนะครับ เราจะสามารถเปิดและปิดรถจากที่แอปนี้ได้เลยนะครับ นี่ก็จะขึ้นหน้าจอสวยงามแบบนี้ขึ้นมา เพื่อมอนิเตอร์ความเร็วต่อชั่วโมง สามารถบอกระยะทางที่เหลือในโหมดที่เราขับขี่อยู่ได้ด้วย และก็บอกอุณหภูมิของรถได้ด้วยนะครับ ต่อไปก็คือการ Slide to Power On รถก็จะติดขึ้นมานะครับและก็ Setting อันนี้คือแถวบน แถวล่างที่เป็น 3 ฟังก์ชั่นจะมี Navigation, Locking Function และ Schedule Charging ซึ่ง 3 อันล่างนี้สามารถเปลี่ยนได้หมดเลยนะครับ

เราไปดูที่ Setting กันก่อนดีกว่าใน Setting นะครับผม ก็จะมี Lock Function ถ้าเราเปิดขึ้นมาเนี่ย เราจะสามารถตั้งได้อีก 2 แบบนะครับ ก็คือ Code Lock ซึ่ง Code Lock เนี่ยจะเลือกเป็น Digital Code หรือว่า Pattern Code Lock ก็ได้นะครับ ก็จะมีให้เราตั้งตอนนี้ครับ

หลังจากนั้นถ้าเราจะตั้ง AirLock อันนี้ก็คือเวลาที่เราเปิด Bluetooth แล้วเราอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเนี่ย เราก็จะสามารถปลดล็อกมันได้อัตโนมัติ ไม่ต้องมาคอยแบบใส่โค้ดหรือว่าทำนั่นทำนี่ให้วุ่นวายครับ เอามือถืออยู่ใกล้ ๆ ก็เปิดได้เลย เมื่อเราตั้ง Airlock แล้ว เรายังตั้งได้อีกว่าให้มัน Sensitive แค่ไหนครับ นี่มาที่ Sensitivity Level จะตั้งว่าเป็นใกล้มาก ๆ หรือว่าไกลหน่อยก็ได้นะครับ อย่างกรณีที่ตั้งไว้แบบใกล้ ๆ กลาง ๆ เนี่ย ผมคิดว่ามันเหมือนกับ ถ้าเราจอดไว้ที่หน้าบ้าน แล้วก็นั่งอยู่ในบ้าน เกิดมีใครมากดเปิดอะไรเงี้ย มันจะได้ทำงานไม่ได้นะครับ ผมก็ตั้งให้มันใกล้เข้าไว้ เวลาที่เราอยู่ใกล้รถถึงจะค่อยเปิดได้นั่นเอง
การแจ้งเตือนความผิดปกติ (กันขโมย)

ต่อไปที่ Abnormality Alert นะครับ อันนี้เราสามารถตั้งให้น้องดังขึ้นมาได้นะครับ เวลาที่มันเกิดการขยับแบบโดยที่เราไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แล้วไม่ได้เชื่อมต่ออยู่ หรือว่าเปิดเครื่องโดยที่เราอนุญาตอยู่ มันก็จะมีเสียงดังร้องเตือนขึ้นมา ซึ่งความ Sensitive ตรงนี้สามารถตั้งได้ครับ โดยไปที่ Alarm Sensitivity ตรงนี้ และเราสามารถตั้งได้นะครับว่าเวลาที่เราพับคอเนี่ย ไม่ต้องให้มันดังเตือน
การติดตามและจัดการพลังงาน

ต่อมาที่ Locating Vehicle นะครับผม หรือ Apple Find My นั่นเอง เราก็สามารถเข้ามาเปิดโหมดนี้ได้นะครับ โดยการไป Search และตั้งค่าที่ Find My ของเราครับ เวลาที่เราเข้าไปในนี้ ก็ทำการ Set เพื่อเปิดระบบ เวลาที่รถเกิดหายขึ้นมา ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เราจะสามารถค้นหาได้ผ่านแอป Apple Find My นี่เอง

ต่อไปนะครับที่ Auto Power Off เราก็สามารถตั้งหน่วงได้นะครับ ถ้าเราเปิดเครื่องไว้แต่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย อีก 30 นาทีค่อยปิดก็ได้ หรืออีก 1 นาที อีก 2 นาทีค่อยปิดก็ได้นะครับ เลื่อนตั้งได้ตามความเหมาะสมที่เราต้องการได้เลย

ไปกันต่อที่ Traction Control อย่างที่บอกว่าตัวนี้สามารถทำ Traction Control ได้แบบสมบูรณ์แบบแล้วนะครับ ในเลเวลของการใช้งานจริง ๆ จะเปิดหรือปิดก็ได้ แต่ผมแนะนำให้เปิดเอาไว้แบบนี้แหละครับต่อไปก็คือ Park On Slope Park On Slope เนี่ย เวลาที่เรากำเบรก ตัวเครื่องอยู่ในขณะแน่นิ่งอยู่เนี่ย ก็จะเข้าโหมดของ Park On Slope ตรงนี้อัตโนมัติเลยนะครับ หรือสามารถไปตั้งที่ Custom Button ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
โหมดการขับขี่ที่ปรับแต่งได้

ต่อมาที่ Quick Feature นะครับ ตรงนี้ก็คือการตั้ง Shortcut ในหน้าแรกนั่นเองครับ เราสามารถเปลี่ยนเอาแอปที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาอยู่ข้างบนได้ครับ เราสามารถเปลี่ยนได้โดยการลากขึ้นไป อย่างเช่นอันนี้ปึ๊บ นะ ก็จะไปแทนที่ Scheduling หรือเอา Scheduling กลับมาก็ได้

ต่อไปที่ Performance Mode นะครับ เราสามารถที่จะเลือกเปิดปิดโหมดแบบที่เราต้องการได้นะครับ อย่างเช่นปิด Mode Walk นี่ ปิด Drive ด้วย เหลือแค่ Sport อย่างเดียวก็ทำได้นะครับ เวลาที่เราเปิดเครื่องมาเปลี่ยนโหมดเนี่ย ก็จะสามารถเปลี่ยนให้มันวนได้ครับจาก Eco ไป Sport เลยทันที โดยที่ไม่ผ่านโหมดอื่นอีก ก็ทำให้สามารถไปโหมดอันนั้น ๆ ได้เร็ว แต่ก็เปิดไว้ทั้งหมดก็โอเคนะครับ จะได้เลือกใช้ได้ เพราะว่าในการ Customize โหมดสปีดเนี่ย มันยังสามารถตั้งความเร็วนั้น ๆ ได้อีกด้วยนะครับ อย่างเช่นเราอยากให้โหมดสปอร์ตของเรามันประหยัดพลังงานหน่อย กลับไปที่ 30 กิโลเมตร นี่ก็ทำได้นะครับ

การกู้คืนพลังงานและเสียงแจ้งเตือน

ต่อมานะครับที่ Energy Recovery หรือที่เราคุ้นเคยกับชื่อเดิมคือ Regenerative Breaking ก็จะทำให้เวลาที่เราปล่อยคันเร่ง หรือว่ามีการชะลอ มีการลง Slope ทางต่าง ๆ ที่มันลาดชันเนี่ย ตัวเครื่องก็จะสามารถ Regenerative พลังงานกลับมาที่แบตเตอรี่ได้ ซึ่งเราตั้งไว้ที่ Standard หรือ Week ก็ได้ หรือปิดเลยก็ได้นะครับ Standard ก็จะโอเคหน่อย หน่วง ๆ นิดนึง ช่วยให้ชะลอรถได้ดีขึ้นนะครับ

ไปกันต่อครับที่โหมดอื่น ๆ อย่างเช่น Sound Effect ตรงนี้เราก็สามารถที่จะเปิดเสียง Direction Indicator ได้นะครับ เวลาที่มันบอก Navigate Turn by Turn ต่าง ๆ เนี่ย ก็จะมีเสียงดังขึ้นมาด้วยนะครับ หรือแอปฟังก์ชันโทนต่าง ๆ ก็จะดังนี้ ทำให้เวลาที่เราส่งข้อมูลต่าง ๆ ไปเนี่ย ก็จะมีเสียงดังของเครื่องเพิ่มเหมือนเป็นการคุยกัน รับรู้ว่าโอเค ตอนนี้ฟังก์ชันมันถูก Set แล้วนะ
การตั้งค่าปุ่มลัดและกำหนดเวลาชาร์จ

ที่ Custom Button Setting นะครับ อันนี้ก็คือ Shortcut ตรงปุ่มสี่เหลี่ยมนั้นเองครับ ซ้ายสุดของ Joystick เราสามารถตั้งได้หมดเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น Park Mode เวลาที่เราต้องการจะจอด ก็กดตรงนี้ปุ๊บมันก็จะกลายเป็น Park Mode เหมือนเวลาเราใส่เกียร์ P และ Auto Hold เวลาที่มันอยู่บนทางเนินหรือทางลาดชัน ก็ตั้งได้ Walk Mode ก็ได้เช่นเดียวกัน เพื่อให้เวลาที่แบบเราต้องการเข็นเดิน เราก็สามารถกดเข้า Walk Mode แล้วก็บิดคันเร่งอ่อน ๆ รถก็จะทำความเร็วที่ประมาณ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้เราแบบเข็นหรือว่าเดินได้ต่อเนื่องสบาย ๆ นะครับ หรือจะเป็น Emergency Flasher นี่ก็จะเป็นหน้าตาอย่างนี้ มีเสียงดังชัดเจน Energy Recovery Level ก็สามารถตั้งได้ว่าจะให้มันหน่วง Week หรือ Standard หรือ Disable นั่นเอง

ต่อไปที่ Schedule Charging นะครับ สำหรับ Ninebot F3 จะใช้เวลาในการชาร์จ 8 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ปกติ อันนี้เราก็สามารถเข้าไปตั้งได้ด้วยว่าโอเค เรากลับถึงบ้าน สมมุติว่าเราถึงบ้าน 21:00 น. แล้วเราจะตื่นสักประมาณ 7:00 น. แต่ว่าเราอยากให้มันชาร์จตั้งแต่ 8:00 น. จนถึงแค่ 3:00 น. พอ ถึงตอนหลังจาก 3:00 น. ไปมันก็จะปิดการชาร์จแล้วนะครับ แต่ถ้าเราอยากจะให้มันชาร์จต่อ กรณีที่มันยังชาร์จไม่เต็มเนี่ย เราก็ติ๊กเพิ่มได้เพื่อเป็นการให้มันชาร์จจนเต็มก่อนที่จะปิดไปนะครับ
การจัดการแบตเตอรี่และฟังก์ชันเพิ่มเติม

และยังไม่พอครับ การชาร์จยังมีระบบที่ชาร์จฉลาดกว่านั้นอีกก็คือ Charging Limit นั่นเอง การตั้ง Charging Limit เนี่ยเป็นทริกสำคัญของการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะตั้งแต่มันรถยนต์จนถึงสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ถ้าเราตั้งอยู่ที่ 80% มันก็จะเป็นการลด Cycle ของแบตเตอรี่ ทำให้ยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ไปได้อีก เนื่องจากการเวลาที่เราใช้แบตเตอรี่จนถึง 100% เนี่ย มันก็จะเป็นการนับ Cycle 1 ครั้งเนาะ สำหรับมาตรฐานของการใช้ลิเธียมไอออนนะครับ นี่เราก็ตั้งไว้ 80 เราก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไปได้อีกนานเลยครับไปกันต่อครับ

Power Off After Folding ถ้าเราเปิดเนี่ย เวลาที่เราพับมันก็จะทำการปิดอัตโนมัตินะครับ นี่ บางทีเวลาเราจอดแล้วเราก็ไม่อยากจะมานั่งกดเปิดปิดให้มันเสียเวลาแบบอยากจะทำอะไรแบบคล่องแคล่วว่องไว ก็สามารถทำโหมดนี้ในแอปพลิเคชันได้เลย

Dashboard Setting อันนี้เป็นการ Setting ตัว Dashboard ที่อยู่บนเครื่องครับ ถ้าเราตั้งให้มันเป็น Trip ก็จะบอกระยะทางเวลา ตั้งแต่เปิดเครื่องจนถึงปิดเครื่องนะครับ แต่ถ้าตั้งเป็น Odometer อันนี้ก็คือการตั้งดูระยะทางทั้งหมดของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันนี้ที่ใช้ หรือเป็นการบอกระยะทางเหมือนในรถยนต์นั่นเอง

ต่อไปก็คือการตั้งหน่วยของสกู๊ตเตอร์ว่าจะให้เป็น Metric หรือว่าเป็น Imperial System นะครับผม หรือกิโลเมตรหรือว่าไมล์นั่นเอง

และ Vehicle Location การเข้ามาที่จุดนี้เนี่ย กรณีที่เราซื้อเครื่องไปเองแล้วเราต้องการปลดล็อกความเร็ว ที่เป็นความเร็วสูงสุดอย่างเช่น Ninebot F3 เนี่ยก็จะอยู่ที่ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็เข้าไปตรงนี้แล้วก็ Set Update ให้มันเป็นไทย ก็จะสามารถปลดล็อกความเร็วสูงสุดได้

ต่อมา Device Info อันนี้จะเป็นการบอกข้อมูลรวม ๆ ทั้งหมดของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเราครับ ตั้งแต่เลขซีเรียล ระยะทางทั้งหมด อุณหภูมิของรถ แบตเตอรี่ และก็เช็ก Firmware Firmware Update Lock ต่าง ๆ สามารถเข้ามาดูที่ตรงนี้ได้

Sleep Mode อันสุดท้าย อันนี้ก็คือกรณีที่เรา สมมุติไม่ได้อยู่บ้านนาน ๆ และก็ไม่ได้ใช้รถสกู๊ตเตอร์เลย ยกตัวอย่างเช่นแบบเป็นเดือน 2 เดือนอะไรเงี้ย เราอยากจะเพิ่มความมั่นใจว่าในช่วงที่เราไม่ได้อยู่บ้านและก็ไม่ได้ใช้สกู๊ตเตอร์เนี่ย มันจะปิดอยู่ตลอดเวลา เพียงเข้ามาที่ Sleep Mode นี้ กด Turn On ปั๊บ มันก็จะปิดระบบทุกอย่างในรถเลยครับ ไม่มีไฟฟ้าเลี้ยงในส่วนใด ๆ เลยก็ตาม แต่ต้องปิดในบ้านนะครับ เพราะว่าไอ้ตัว Apple Find My ก็จะปิดไปด้วยนั่นเอง จุดนี้เนี่ยก็สามารถเพิ่มความมั่นใจให้เรา เวลาที่เราไม่ใช้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้ดีเลยทีเดียว และถ้าต้องการเปิดระบบ ก็เพียงแค่เสียบสายชาร์จกลับเข้าไป ก็จะเป็นการเปิดตัวเครื่องขึ้นมา เราก็สามารถที่จะล็อกอินเข้ามาในมือถือเพื่อเข้ามาตั้งค่าอะไรต่าง ๆ เปิดใช้งานรถได้ตามปกติเองครับ
ระบบนำทาง

ถ้าเราอยากจะใช้โหมดของการเดินทางเพื่อบอกเส้นทาง ให้เข้าไปที่ Navigation ครับ เข้ามาใน Navigation ปั๊บ เราก็เลือกสถานที่ที่เราจะไปเลยครับ พอเราเข้าไปนะครับ มันก็จะส่งข้อมูลไปที่ตัวรถ ก็จะเห็นเป็น Navigation เป็นเส้นทางบอก Turn-by-Turn เลย
สรุปไว ๆ พร้อมราคา: Ninebot F3 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ชีวิตในเมือง
- Ninebot F3 เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า Mid-Tier รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Ninebot ที่มีการยกเครื่องทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมด เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า
- น้ำหนักเบาเพียง 18.6 กก. พร้อมการพับเก็บที่ง่ายและมีหูหิ้ว ทำให้คล่องตัวและยกง่าย เหมาะกับการใช้งานในเมือง และการเดินทางในชีวิตประจำวัน
- มาพร้อมกับมอเตอร์กำลัง 1,000 วัตต์ และความเร็วสูงสุด 35 กม./ชม. ซึ่งเทียบเท่ารุ่นท็อปอย่าง Max G2 มอบอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ดี
- แบตเตอรี่ความจุ 477 Wh ให้ระยะทางสูงสุด 70 กม. ในโหมด Eco (และประมาณ 40 กม. ในโหมด Sport) รองรับการเดินทางระยะไกลได้อย่างสบาย
- มีระบบกันสะเทือนแบบไฮดรอลิกที่ล้อหน้าและ Elastomer ที่ล้อหลัง ช่วยซับแรงกระแทกจากพื้นผิวที่ไม่เรียบได้อย่างยอดเยี่ยม เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่
- ยาง Self-Healing ขนาด 10 นิ้ว ช่วยป้องกันยางรั่วจากของมีคมขนาดเล็ก ทำให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
- มาพร้อมกับระบบ Traction Control ที่ใช้งานได้จริง ช่วยเพิ่มความมั่นคงและปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะบนพื้นผิวที่ลื่นหรือขณะเร่งความเร็ว
- จอสี TFT ขนาด 2.4 นิ้ว แสดงข้อมูลที่แม่นยำ พร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะ เช่น Turn-by-Turn Navigation และแสดงชื่อผู้โทรเข้า
- มีฟีเจอร์ความปลอดภัยขั้นสูง อาทิ AirLock (ปลดล็อกจากมือถืออัตโนมัติเมื่อเข้าใกล้), เสียงเตือนกันขโมย และไฟหน้าอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย
- กันน้ำได้ดีเยี่ยม ด้วยมาตรฐาน IPX6 สำหรับตัวเครื่อง/จอ และ IPX7 สำหรับแบตเตอรี่ ให้คุณขับขี่ท่ามกลางฝนตกปรอย ๆ หรือผ่านแอ่งน้ำได้อย่างมั่นใจ (แต่โปรดทราบว่าการรับประกันไม่ครอบคลุมความเสียหายจากน้ำเข้า)
- สามารถควบคุมและปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลายผ่านแอปพลิเคชัน Segway Mobility รวมถึงการตั้งค่าการชาร์จแบบอัจฉริยะ (เช่น Charging Limit 80% เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่
และเจ้า Ninebot F3 ตัวใหม่ล่าสุดของปีนี้ ราคาอยู่ที่ 35,900 บาท ครับ ที่ผมแบบเล่าจนอินขนาดเนี้ย มันชอบมันดีอะไรขนาดนั้นเนี่ย ก็อยากให้ทุกคนได้เข้าใจจริง ๆ นะครับ ใครที่อยากมาทดลองสามารถมาทดลองด้วยตัวเองได้ที่ MONOWHEEL HQ จุฬา 28 ถนนบรรทัดทอง ติดต่อเรามาได้ทุกช่องทางตามนี้เลยนะครับ จะ Inbox มาถามหรือว่าจะไปดูคันจริงที่สาขาอื่นก็ได้เช่นเดียวกัน