รีวิว Ninebot MAX G3: อัปเกรดใหม่ทั้งหมด แต่น้ำหนักแทบไม่ต่างจากเดิม?

สมฉายาเรือธงของ Segway ในปีนี้กับ Ninebot MAX G3 ครบเครื่อง จัดเต็ม ยังนึกไม่ออกเลยว่าขาดอะไรไปนอกจากนี้

Ninebot MAX G3
July 18, 2025
รีวิว Ninebot MAX G3

และแน่นอนว่าวิดีโอนี้เราอิงเนื้อหาจากวิดีโอ Full Review เพราะฉะนั้นใครถนัดดูวิดีโอ แนะนำนี่เลยครับ

Ninebot MAX G3 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเรือธง! อัปเกรดใหม่ ใหญ่ ปลอดภัย ชาร์จไว พาเจาะลึกทุกฟีเจอร์

เปิดตัวแล้วกับ Ninebot MAX G3 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเรือธง ที่สุดของความเร็ว แรง ฟีเจอร์แน่น และนิยามใหม่ของคำว่า "ใหม่ ใหญ่ ปลอดภัย และชาร์จไว" กว่าเดิม! รอบนี้จะพาทุกคนเจาะลึกทุกส่วน ตั้งแต่ภายนอก ภายใน ซอฟต์แวร์ รวมถึงการทดสอบใช้งานจริง พร้อมฟีดแบ็กตรงไปตรงมาว่าดีเสียอย่างไร ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูรีวิวฉบับเต็มกันเลย!

Ninebot MAX G3: All-New ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด

อย่างที่บอกนะครับว่า คันนี้เนี่ยคือ ใหม่ เพราะฉะนั้นหลายส่วนเนี่ยมันต่างจาก G1 และ G2 กระจุยกระจายเลยครับ เรียกว่า All New ทีเดียว ด้านซ้ายมือในภาพที่ทุกคนเห็นอยู่ Ninebot MAX G2 นะครับ ที่เราคุ้นเคย ทรงของเค้าเนี่ย จะเป็นทรงที่เรียกว่าต่อเนื่องมาตั้งแต่ตอนที่ G1 เลยนะครับ แล้วก็มีปรับนิดนุ่นนิด ๆ หน่อย ๆ ใส่โช๊คมา แต่ว่าด้านนี้ MAX G3 มีหลายส่วนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตานะครับ เพราะนี่คือ All New แท้จริง และถึงเจ้า MAX G3 มันดูใหญ่กว่าก็จริง แต่ว่า น้ำหนักเค้าต่างกันไม่มากนะครับ ต่างกันแค่ 300 กรัมเท่านั้น เหมือนคุณเดินไปซื้อหมู 3 ขีด ต่างกันแค่นั้นเอง

แฮนด์บาร์และจอแสดงผลอัจฉริยะ

เริ่มกันที่ handle bar นะครับ ที่มีการปรับโฉมใหม่หมดเลย ถ้าเผื่อว่าเทียบจากตัว G2 นะครับ อย่างแรกเราจะเห็นเลยว่ามันมี เบรกมือ 2 ฝั่งเป็นก้านแบบนี้นะครับ แล้วก็มี จอตรงกลาง นะครับที่ไม่มีปุ่มแล้ว จะเป็นจอแบบปิดเรียบเลยนะครับ ทำให้เราสามารถที่จะมองข้อมูลต่าง ๆ ได้ละ เอียดมากยิ่งขึ้นด้วย จอ TFT ขนาดใหญ่ และยังสามารถที่จะแสดงผลทั้ง ทิศทาง Turn-by-Turn แล้วก็ การโทรเข้าได้ด้วย นะครับ

ส่วนของชุดควบคุมนะครับก็ทำหน้าตาเหมือน Joystick ซึ่งควบคุมได้ด้วยที่มือซ้าย ข้อดีตรงนี้เนี่ยก็คือเราสามารถจะ เปลี่ยนโหมด หรือจะเปิดไฟเลี้ยว การขับขี่ต่าง ๆ เนี่ยผ่านมือซ้าย เพียงมือเดียวด้วยนิ้วโป้ง ของเรานี่เอง ซึ่งดีกว่าการที่มาอยู่ตรงเซ็นเตอร์เหมือนรุ่นเก่า ๆ นะครับ อันนี้ก็ถือว่าได้ประโยชน์ดีขึ้นจริง ๆ และอีกด้าน นึงนะครับก็คือทำให้การ ป้องกันน้ำของตัวจอเนี่ยดีขึ้น อีกด้วยนะครับ

ต่อมาทางด้านขวาของผมนะครับก็คือ คันเร่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือคันเร่ง แต่เป็นแบบ Hybrid แล้วนะครับ ก็คือสามารถใช้ นิ้วโป้งกดได้แบบรุ่นเก่า หรือจะใช้การกำ เพื่อบิดเหมือนกับคันเร่งรถมอเตอร์ไซค์ ก็ได้นะครับผม มีกระดิ่งเสียงที่เสียงอาจจะมุ้งมิ้งไปนิดนึง แต่ว่าก็ดีนะครับ ถ้าเผื่อว่าเราอยู่ในชุมชนเนี่ยก็จะไม่ได้ทำให้คนตกใจมากจนเกินไป และด้านหน้ามี ไฟปรับระดับได้ด้วย

และส่วนที่เป็นไฮไลท์สำคัญของการเปลี่ยนโฉมใหม่ครั้งนี้ นะครับก็คือ จอสี TFT 2.4 นิ้ว ตัวนี้ นี่เอง ซึ่งนอกจากที่มันจะสามารถแสดงผลได้อย่างสว่าง ชัดเจน สีสันสวยงามแล้วเนี่ย ยังมีฟีเจอร์สำคัญที่อยู่ภายใต้เจ้าตัวนี้อีกด้วยนะครับ

  • อย่างแรก เวลาที่เราเปลี่ยนโหมด นะครับจะสามารถ บอกระยะทางที่ทำได้ในแต่ละโหมด ให้ด้วย คำนวณมาให้เองเลยนะครับ ซึ่งอันเนี้ยดีมาก ๆ

  • และยังสามารถที่จะบอก Turn by turn ได้ด้วย นะครับ กรณีที่เราตั้ง Navigation ในมือถือเอาไว้ว่า เอ้ยจะไปที่นี่นะ จะต้องเลี้ยวซ้ายอีกกี่เมตร เลี้ยวขวา อ่ะก็สามารถบอก Turn by turn ได้
  • ที่สำคัญ อันนี้ผมชอบมาก เวลาเราขับขับขี่สกู๊ตเตอร์บางทีมีคนโทรมาเราไม่รู้ใช่ไหม เพราะว่ามันก็สั่นด้วย มันกำลังขับขี่ด้วย ตัวนี้เวลา คนโทรเข้า นี่ก็คือความอัจฉริยะของจอสี TFT 2.4 นิ้ว ที่มีมาให้ใน Ninebot MAX G3 ตัวนี้ครับ

สมรรถนะการขับขี่

มอเตอร์ นะครับยังทำสูงสุดได้ถึง 2,000 วัตต์ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 45 กม./ชม. และมี Boost Mode ด้วยนะส่วนของระยะทางและแบตเตอรี่ นะครับผม สกู๊ตเตอร์ Ninebot MAX G3 เนี่ยมีขนาด 597 Wh ระยะทางสูงสุดถ้าเป็น โหมด Eco คือ 80 กม.และโหมด Sport 30-40 กม.

0-25 ใน 2.4 วินาทีนี่ของจริงครับ
Max Speed 45 km/h ก็ของจริงครับ

ในส่วนของการขับขี่ นะครับ ระบบช่วงล่างเนี่ยมีการอัปเกรดมาใหม่หมดเลย นะฮะ

  • ตั้งแต่ด้านหน้าก็คือเป็น โช๊คไฮดรอลิคคู่ จัดเต็มเลยนะครับ
  • และด้านหลัง นะครับก็เป็น โช๊คไฮดรอลิคที่สามารถปรับพรีโหลดได้ด้วย Soft-Hard ตั้งได้นะครับ ก็จะมีนี่ตัวหกเหลี่ยมเนี่ย แถมมาให้นะครับสามารถขันบิดได้ตามความชอบ แข็ง ชอบอ่อนก็ตั้งได้ครับ

ระบบชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วและอัจฉริยะ

จุดที่สำคัญของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคือ การชาร์จแบต นะครับถ้าเผื่อว่าเป็น ชาร์จระบบแรก ที่เรามีสายให้เนี่ย ก็จะเป็นสายแล้วก็อะแดปเตอร์ภายในตัวนะครับ ระบบนี้เนี่ยทำให้การ ชาร์จ 0-100 ได้ภายใน 3 ชั่วโมงครึ่ง เท่านั้นเอง

และถ้าเผื่อต้องการชาร์จให้เร็วกว่านั้นไปอีก นะครับก็สามารถซื้ออะแดปเตอร์เพิ่มเติมได้อีกเส้นนึงนะครับ เป็นการชาร์จ 2 เส้นพร้อมกัน สามารถทำ การ ชาร์จ 0-100% ได้ภายใน 2 ชั่วโมงครึ่ง เท่านั้นเอง นะครับผม

ความฉลาดของเขายังไม่จบแค่นั้นนะฮะ ที่หน้าจอ ยังบอกได้ด้วยว่า อีกกี่นาที อีกกี่ชั่วโมง จะชาร์จเสร็จ นะครับ อันนี้ก็ถือว่า เออ เหมาะนะกับคนที่ใช้งานในเมือง ตื่นเช้ามา 7:00 น. อยากต้องชาร์จแล้วอยากให้มันเต็มร้อย มันจะทันกับเวลาที่เราจะออกจากบ้านไหมนี่ ความฉลาดนี้อยู่ใน Ninebot MAX G3 เรียบร้อยแล้วครับ

แอปพลิเคชันและการปรับแต่ง

ทีนี้มาดูในส่วนของแอปพลิเคชันกันต่อเลยนะครับ อย่างแรก การเชื่อมต่อตอนนี้เนี่ย ทำได้ดีขึ้นเยอะมาก ๆ แล้วนะครับ ตอนนี้นะครับเราก็สามารถ Add device ได้ง่าย ๆ แล้วนะครับ เพียงแค่เข้าไปที่แอปแล้วก็ add device กดสแกน QR Code นะครับ ทีนี้ต่อ อ่า ส่วนที่ตัวรถนะครับ เปิดเครื่องแล้วก็กำเบรก 8 ครั้งนะครับ 1 2 3 4 5 6 7 8 แล้วก็ กดปุ่มลง นี่ก็จะขึ้นเป็น QR Code แบบนี้

เรามาดูที่หน้าจอแรกกันก่อนเลยดีกว่า นะครับเมื่อเปิดเข้าแอปพลิเคชันแล้วเนี่ยก็จะมีตัวรถ นี่ตอนนี้เราเชื่อมต่ออยู่กับ Ninebot MAX G3 นะครับผม ก็จะมี สเตตัสแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ในโหมดนั้น ๆ นะครับ

ต่อมาจะเป็น Setting นะครับ แล้วก็มี Navigation มี Locking Function แล้วก็ Schedule Charging นะครับ เรามาดูที่ Setting กันก่อน ที่ Setting โอ้โหเต็มไปหมดเลยฮะ

  • Locking Function: สามารถเปิดแล้วก็เลือกได้นะครับว่าจะ มี code lock เป็นแพทเทิร์น หรือว่าจะเป็นตัวเลข นะครับ อันนี้ก็ จะมีกำหนดอธิบายวิธีการให้เราสามารถตั้งเป็นแพทเทิร์นของเราเอง ได้เลยนะครับ
  • Airlock: นี่ อันนี้ก็คืออันที่เราใช้ประจำ นะครับก็คือการเชื่อมต่อ Bluetooth ไว้เนี่ยแล้วเวลา มือถือเราอยู่ใกล้ ๆ รถเราก็จะสามารถกดเปิดได้นะครับ แต่ถ้าเผื่อว่ากดเปิดไม่ได้อีกชั้นนึงก็คือการตั้งแพทเทิร์นล็อค หรือโค้ดล็อคเมื่อสักครู่ นี้นะครับผม
  • ลงมาข้างล่าง นะครับสามารถ optimize ได้ด้วย นะครับว่าจะให้มันมีระยะความ sensitive เท่าไหร่ นะครับใกล้สุด จนถึงไกลสุดนะฮะ จูนได้ อื้อ เบื้องต้นประมาณนี้นะครับ
  • กลับมาอันที่ 2 Abnormality Alert: นะครับ อันนี้เนี่ย ถ้าเผื่อว่าเราเปิดเอาไว้ตัว Alarm มันก็จะดังเตือน เมื่อมีการขยับนะครับ ที่ผิดปกติ ซึ่งเราสามารถจะ ตั้ง disable เอาไว้ได้นะครับ ก็คือเวลาที่มันมี การพับเนี่ยมันจะไม่ดังนะครับ หรือจะตั้งเอาไว้ ทั้งหมดเลยก็ได้
  • ต่อมาอันที่ 3 นะครับคือ Locating Vehicle (Find My): อันนี้ใช้ได้กับ Find My Apple นั่นเอง เราก็สามารถเข้ามา setup pairing เพื่อที่เวลาเราเนี่ย เอารถไปจอดไว้ที่ไหน ก็ตามนะครับแล้วอยู่ดีเกิดเอ้ยลืมจอดไว้ที่อาคารฝั่ง A ฝั่ง B อะไรเงี้ย เราสามารถเปิด Find My ดูได้ ซึ่งมันก็จะแสดง โลเคชันใน Apple Find My นะครับ ให้เราดูว่าตอนนี้รถเราจอดที่ตรงไหน หรือกรณีที่มันฉุกเฉิน มีการหาย เกิดขึ้นเนี่ยระบบ Apple Find My เนี่ยก็จะช่วยเราหารถ ให้เจอได้ด้วยเช่นเดียวกัน นะครับ ซึ่งระบบอันนี้ เป็นการคุยกันระหว่าง device ของ Apple อยู่ กระจายไปทั่วเมืองทั่วประเทศถ้าเผื่อมันอยู่ใกล้ ๆ กันมันก็จะช่วยในการส่ง สัญญาณหารถเราให้แล้วก็แจ้งกลับมาที่แอปพลิเคชัน Apple Find My นั่นเองครับ
  • ต่อมานะครับ Auto Power Off: นี่เราสามารถตั้งหน่วงได้นะครับว่าจะ Power Off ภายใน กี่นาที สูงสุดคือ 30 นาที และต่ำสุดคือ 1 นาที นะครับ สมมุติว่าเปิดเครื่องเอาไว้แล้ว พอเคาท์ดาวน์ 1 นาทีปั๊บ ไม่ ได้ขยับไม่ ได้ใช้งานเนี่ยก็จะ ปิดเครื่องทันที

  • ต่อมาอันนี้ดีสุด ๆ ก็คือ Traction Control: นะครับ แนะนำว่าให้ กดเปิดเอาไว้ตลอดเลย จะดีกว่า นะครับอันต่อมา Park On Slope: นะครับ ถ้าเผื่อว่าเราเปิดเอาไว้เนี่ยในการที่จะให้รถโฮลด์ตัวเอง ไม่ว่าจะลงเนินหรือขึ้นเนินเนี่ย ก็ทำได้ เพียงแค่การ กำเบรก นะครับ ค้างเอาไว้เนี่ยมันก็จะตัดเข้าโหมดของ Holding หรือ Park On Slope อันนี้ให้เองนะครับผม แล้วก็ยัง สามารถไปตั้ง Custom ใน Button ได้อีกเพิ่มด้วยนะฮะ
  • ต่อไปเป็น Quick Features อันนี้ก็คือเป็น การจัดหน้าตาของ Dashboard นะครับ สามารถเปลี่ยนให้โหมดที่เราใช้ประจำขึ้นมาได้ นะครับ อย่างตอน นี้เนี่ยผมก็เลือกไว้เป็น Navigation Locking Function แล้วก็ schedule charging นะครับ

การตั้งค่าสมรรถนะ (Performance)

  • ลงมาที่ตรงส่วน Part ของ Performance นะครับ Choose Speed Mode: นะครับนี่เราสามารถ ปิดหรือเปิดได้นะครับให้มันมีเฉพาะโหมดที่เราจะใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ค่อยได้ใช้ Walk mode เราก็อาจจะปิดไปได้เลยนะครับ แล้วก็ Drive Mode กับ Sport Mode เนี่ยก็เปิดเอาไว้ได้ ทำให้เวลาที่เราเปลี่ยนโหมดวนเนี่ยมันก็จะวนอยู่แค่ Eco Drive แล้วก็ Sport นะครับ
  • ต่อมา Custom Speed ได้อีกนะครับ กรณีที่เราอยากจะ ให้รถคันนี้เนี่ยในโหมดสปอร์ต นะครับมันลิมิตลงมา สมมุติอยู่ ที่ 30 ก็ได้อ่ะ จะได้ประหยัดพลังงานนะฮะ คือมีอัตราเร่งแบบ สปอร์ต แต่ว่าไม่ต้องขับเร็วมากจนเกินไป และก็ ทำให้แบตมันใช้ได้ระยะทางยาว ๆ เนี่ยก็สามารถ มาตั้งตรงนี้ได้ ก็สามารถตั้งใน Eco ก็ได้ Drive ก็ได้นะครับและที่สำคัญ ที่ผมจะทดลองให้ดูก็คือ Boost Mode นั่นเองอยู่ด้านล่างนี้นะครับ ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องการใช้สามารถที่จะกดปิดได้ หรือถ้าเผื่อว่า ต้องการใช้ก็สามารถเปิดได้เช่นเดียวกัน นะครับ
  • ต่อมานะครับ Energy Recovery: นะครับ หรือ การตั้งหน่วงแบตเตอรี่ ที่เราเคยคุ้นเคยกันนะครับกับคำว่า Regenerative Breaking นั่นเอง อันเนี้ยก็สามารถจะตั้งได้ทั้ง Standard Weak หรือว่าปิดไปเลยก็ได้นะครับ มันจะ ทำการหน่วงมอเตอร์นิด นึงเพื่อให้เวลาที่ เราปล่อยคันเร่งลงเนิน หรือว่ามี การ slow เนี่ยมันจะ regenerate ไฟฟ้า นะครับกลับไปที่แบตเตอรี่ได้ อีกนิดหน่อย อันนี้ก็ตั้งไว้เป็นแบบ Standard แล้วกัน นะครับ อื้อ

การตั้งค่าเสียงและแสง

  • ต่อมาในส่วนอื่น ๆ นะครับ ที่ Sound Effect เราสามารถตั้งความดังของมันได้นะครับ
  • แล้วก็ Direction Indicator Sound นะครับ เวลาที่เราเปิดไฟเลี้ยวก็จะมีเสียงร้องนะครับ
  • App Function Tone คือถ้าเราเปิดไว เวลาเราเปลี่ยนค่าต่าง ๆ เครื่องจะร้องครับ
  • สุดท้ายอันข้างล่างสุด Customize Sound Effect นี่เราสามารถที่จะตั้งเสียงหรืออัดเสียงเราเข้าไป ได้เลยนะครับ หรือจะเปลี่ยนหรือจะเอาเสียงจาก ข้างนอกเนี่ยใส่เข้ามา ก็ ได้นะครับ เราสามารถ Record ได้สูงสุด 4 วินาที นะครับ และเราอยากจะให้ ไปอยู่ที่โหมดไหนก็ได้ นะครับ เช่น ตอนกดปุ่ม custom button นะครับ เปลี่ยน เป็นเสียงผมเองก็ จะมีการอัปโหลดไป ที่ตัวเครื่องนั่นเองครับ

การตั้งค่าปุ่มกำหนดเอง (Custom Button Settings)

ไปกันต่อที่ Custom Button Settings นะครับ คลิกเข้าไปเนี่ยก็จะเจอ นะฮะ ว่าปุ่มนี้ เนี่ยสามารถตั้งค่าได้เยอะมาก

  • ตั้งเป็น Park Mode
  • Automatic Hill Hold จอดทางชันก็ได้นะครับ
  • เข้า Walk Mode  ก็ได้
  • เป็น Emergency Flasher เป็นไฟฉุกเฉินนั่นเอง
  • ใช้เป็นการตั้ง Energy Recovery Level ก็ได้ นะครับที่เมื่อสักครู่เล่าไปจะมี Standard แล้วก็มีแบบ weak นะครับ
  • หรือว่า หรือจะให้เป็น Boost Mode ก็ได้ นี่พอ กดปุ๊บมันก็ จะเคาท์ดาวน์ 3 2 1 แล้วเข้า นะครับ
  • เป็น Custom Sound Effect ก็ได้นะครับ ก็จะเป็นเสียงที่เราตั้ง

เอฟเฟกต์ไฟ (Light Effects)

มาดูที่ข้อต่อไปนะครับคือ Light Effect เมื่อคลิกเข้าไปแล้ว นะครับ อย่างแรกเลยก็คือ เราสามารถ ตั้งไฟเบรกได้ นะครับ ว่าเป็นแบบเปิดเวลาที่กำเบรก หรือว่า เป็นแบบกระพริบเวลาที่กำเบรกนะครับ

  • ต่อมาก็จะ เป็น Auto Headlight นะครับนี่ ว่าจะให้ไฟหน้าติดเองตอนรอบข้างมืดหรือเปล่า
  • Breathing Tail Light นะครับก็คือ เวลาที่เราชาร์จแบตเนี่ยถ้าเผื่อว่าเราเปิดอันนี้ไว้ ไฟท้ายมันก็จะวาบ ๆ ให้เห็นว่าแบตกำลังทำงานเข้าอยู่นะครับผม
  • ต่อไป Front Position Lamp นะครับ ก็คือ Daytime Running Light อันนี้ นี่เอง นี่สามารถเปิดปิดได้นะครับ เผื่ออยากประหยัดไฟตอนนิดหน่อย
  • Safety Underglow นะครับ อันนี้เวลาที่รถเปิดไฟอยู่เนี่ยเราจะเห็นว่ามันมีไฟด้านล่างอยู่ ทำงานได้ดีเลยทีเดียว นะครับใน ที่มืด แล้วก็เวลาที่ เราเปิดไฟเลี้ยวข้างล่างก็จะกระพริบ ไปด้วยเหมือนกันนะครับ

การจัดการแบตเตอรี่ขั้นสูง

  • ต่อไปนะครับคือ Schedule Charging นะครับ อันนี้ดีมาก ๆ เวลาที่เรากลับถึงบ้านเสียบชาร์จ แต่ไม่ ได้อยากจะให้มันไฟเข้าทันที อยากให้ ไปชาร์จตอนกลางคืน เราก็สามารถที่จะตั้งเวลาได้นะครับเช่น ให้เริ่มที่กี่โมงถึงกี่โมงแล้วก็ตั้งเวลาไปเลย สมมุติผมกลับบ้าน 21:00 น. นะครับ ตั้งจนไปถึงอีกวันนึงก็คือ 5:00 น. เป็นต้นนะครับ นี่แล้วก็สามารถ ติ๊กได้อีกนะครับว่าถ้าเผื่อว่าชาร์จ ไม่เต็มเนี่ยภายในระยะเวลาที่กำหนด เอาไว้เนี่ยก็ จะให้ continue จนกระทั่งชาร์จ เต็มได้ด้วยนะครับ มีความแบบอัจฉริยะมาก ๆ
  • Charging Limit: นะครับ เป็นการช่วยเพิ่ม Circle ในการใช้งานแบตเตอรี่ นะครับผม ถ้าเผื่อว่าเราตั้งเอาไว้ที่ 95 90 หรือ 80 เนี่ยจะยิ่งดีนะครับ สามารถมาอ่านตัวทริปนี้ได้นะครับ ว่าการตั้งที่ lower charging เนี่ยจะยิ่ง ซึ่ง เป็นการเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่นะครับ หรือว่าเป็นการลด circle ของ การใช้แบตเตอรี่นั่นเอง
  • ข้อต่อมานะครับ Power Off After Folding: นะครับ อันเนี้ยผมก็จะชอบเปิดเอาไว้เพราะว่าเวลาที่ บางทีเราขับมาปั๊บจอดปุ๊บเราไม่ได้กดปุ่ม ปิด Power เนี่ยพับคอ ปึ้งมันจะดับทันทีเลย เดี๋ยวผมลองทำให้ดู นี่ตอนนี้เราเปิด ไว้ อยู่ นะครับ แล้วถ้าเผื่อว่าผมกดล็อคมันปั๊บ นี่มันจะดับเลยนะฮะ เสียง ก็จะขึ้นมาอย่างงี้ แล้วก็เปิดมันกลับมา อีกทีนึงเพราะเดี๋ยว เราต้องเชื่อมต่อก่อน

การแสดงผลและการนำทาง

  • Dashboard Setting: นะครับ อันนี้ก็คือตัวด้านหน้าจอนั่นเอง นะครับสามารถที่จะตั้งให้มันเป็นบอกระยะทางต่อทริปนั้น ๆ นะครับ หรือว่า เป็น Total Distance หรือว่า ระยะทางรวมตั้งแต่ที่ใช้คันนี้มา ก็ได้นะครับผม เหมือนวัดไมล์รถนั่นเอง
  • แล้วก็ Vehicle Location: อันนี้เนี่ยเราจะใช้ในกรณีที่ถ้าเผื่อว่าอยู่ดี ๆ หรือว่าตอนที่ ซื้อมามันยังไม่ได้เปิดความเร็วสูงสุดไปที่ 45 กม. ต่อ ชม. เนี่ยแสดงว่าไม่ได้ตั้งตรงนี้ให้มันเป็นประเทศ ไทยนะครับผม เราก็สามารถมาตั้งตรงนี้ได้ อัปเดตให้มันเป็น ประเทศไทย
  • แล้วก็ Sleep Mode: อันนี้เนี่ยเป็นการตั้งนะครับ กรณีที่เราไม่ได้ใช้รถนาน ๆ สมมุติว่าผมไปเที่ยวสัก 2 เดือน อยู่ต่างประเทศตลอดก็สามารถเปิด Sleep Mode นี้ไว้ได้ ตัวเครื่องเนี่ยก็จะ ปิดการทำงานทุกอย่างนะครับ 100% เลย คือแบตเตอรี่ ก็จะไม่ Standby ไม่มีอะไรทำงานเลยนะฮะ แต่แนะนำให้มันอยู่ในบ้านนะครับ เพราะว่ Find My ก็จะปิดไปด้วย แล้วพอเวลาที่เราต้องการกลับมาเปิด อันนี้เนี่ยก็แค่เสียบสายชาร์จเข้าไปปั๊บ เนี่ยเครื่องก็จะกลับมาติด activate เดิม ได้เลยนะครับ

และก็ในบรรทัดล่างนะครับ Navigation นี่พอ กดเข้ามาแล้วนะครับก็จะเป็นการตั้งเส้นทางในการเดินทางนะครับ อย่างเช่น เราจะไปที่ EGOCAST MONOWHEEL นี้ เราก็คลิกไปเลยนะฮะ จากตรงนี้ นี่ก็จะขึ้น map มาเลย เราก็ Display Navigation ป๊บ ก็จะไปแสดงผลที่ตรงนี้ ที่ตัวรถนะครับที่จอ TFT 2.4 นิ้วตรงนี้เนี่ย เราสามารถเปลี่ยน shortcut ได้หมดเลยนะครับ แทนที่ ตรง Navigation, Locking Function หรือ Schedule Charging นะครับเปลี่ยนได้หมดเลย และนี่ก็คือแทบจะทั้งหมดแล้วนะครับ ของการเข้าไปในแอปยเพื่อ Custom แล้วก็ดูข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเจ้า สกู๊ตเตอร์ Ninebot Max G3 คันนี้ครับผม ว้าว

สรุปจุดเด่นและราคา

  • ดีไซน์ All-New และโครงสร้างทนทาน: Ninebot Max G3 มาพร้อมดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และโครงสร้างผลิตจากอะลูมิเนียมเกรดอากาศยานทั้งส่วนคอและบอดี้ แม้ตัวเครื่องจะดูใหญ่ขึ้น แต่มีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกับรุ่นเดิม (เพิ่มเพียง 300 กรัม) ทำให้สะดวกสบายในการใช้งาน
  • ความปลอดภัยสูงสุด: ครบครันด้วยระบบความปลอดภัยชั้นนำ ได้แก่ Apple Find My, Airlock, Pattern Lock, และระบบกันขโมยที่มาพร้อมเสียงเตือนและการหน่วงมอเตอร์ นอกจากนี้ยังมีไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่สว่างและปรับระดับได้ รวมถึงไฟ Safety Underglow ใต้ท้องรถที่สามารถแสดงไฟเลี้ยวได้อีกด้วย
  • ระบบกันน้ำเหนือกว่า: ตัวจอและตัวเครื่องได้รับการรับรองมาตรฐานการกันน้ำ IPX6 ส่วนแบตเตอรี่กันน้ำ IPX7 ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจแม้ในสภาพฝนตกหนักหรือน้ำสาด
  • ระบบเบรกเหนือชั้น: มาพร้อมดิสก์เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลังในระบบ 2 สูบ ซึ่งช่วยให้การเบรกมีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นที่ผ่านมาอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ยังมีระบบ Regenerative Braking ที่ช่วยหน่วงมอเตอร์และแปลงพลังงานกลับไปเก็บในแบตเตอรี่ขณะชะลอความเร็ว
  • สมรรถนะที่ทรงพลัง: มอเตอร์ขนาดสูงสุด 2,000 วัตต์ มอบความเร็วสูงสุดที่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมี Boost Mode ที่ช่วยให้อัตราเร่ง 0-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.4 วินาที
  • แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ วิ่งได้ไกล: มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 597 วัตต์อาวร์ ที่สามารถทำระยะทางสูงสุดได้ถึง 80 กิโลเมตรในโหมด Eco และ 30-40 กิโลเมตรในโหมด Sport
  • ระบบชาร์จไวและชาญฉลาด: รองรับการชาร์จ 0-100% ภายใน 3.5 ชั่วโมงด้วยสายปกติ หรือเร็วกว่านั้นเหลือเพียง 2.5 ชั่วโมงเมื่อชาร์จพร้อมกัน 2 สาย หน้าจอแสดงผลยังสามารถบอกเวลาที่เหลือในการชาร์จได้อีกด้วย
  • จอ TFT อัจฉริยะ: จอสี TFT ขนาด 2.4 นิ้ว แสดงผลได้อย่างสว่าง ชัดเจน และมีสีสันสวยงาม สามารถบอกระยะทางที่ทำได้ในแต่ละโหมด, แสดงทิศทางแบบ Turn-by-Turn และแจ้งเตือนสายโทรเข้า
  • แอปพลิเคชันที่ล้ำสมัยและปรับแต่งได้: แอปพลิเคชันมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นมาก ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างละเอียด เช่น ระบบ Traction Control, ตั้งเวลาชาร์จ (Schedule Charging), จำกัดระดับการชาร์จเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ (Charging Limit), ปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อพับ (Power Off After Folding) และปรับแต่งเสียงหรือเอฟเฟกต์ไฟต่างๆ ได้
  • ช่วงล่างที่ปรับได้: มาพร้อมโช้คอัพไฮดรอลิกคู่ที่ด้านหน้า และโช้คอัพไฮดรอลิกที่ด้านหลังซึ่งสามารถปรับ Preload เพื่อตั้งค่าความแข็ง-อ่อนได้ตามความชอบของผู้ขับขี่

และเฉลยของบนความนี้ก็คือ Ninebot MAX G3 มีราคาอยู่ที่ 48,900 บาทนั่นเองครับผมสำหรับใครที่อยากลองสินค้าจริงสามารถมาทดลองได้ที่ MONOWHEEL HQ ซอยจุฬา 28 ถนนบรรทัดทองนะครับ หรือสามารถไปดูสาขาใกล้บ้านผ่านเว็บไซต์ MONOWHEEL.bike เพื่อดูสาขาที่มีสินค้าทดลองได้เลยครับผม สำหรับวันนี้ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ สวัสดีครับ

บทความที่น่าสนใจ

Interesting articles
Back to top